วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตไม่แน่นอน ทำไมวันนี้อยากเป็นช่างเย็บผ้า? ตอนที่ 2

ภาคต่อจาก "ชีวิตไม่แน่นอน ทำไมวันนี้อยากเป็นช่างเย็บผ้า? ตอนที่ 1" ตอนนี้อาจจะอ่านดูเครียดๆหน่อยนะ (เค้าจริงจังอ่ะ 55+)  ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก คลิ๊กด้านล่างได้เลยค่ะ


เมื่อเรารู้สึกสนุกอยู่กับตัดเสื้อผ้าใหม่ๆ ใจก็ไม่เป็นอันจะอยู่กับการทำงาน ไปทำงานก็ไม่มีความสุข คราวนี้กลับกลายเป็นว่าเราเป็นทุกข์เพราะทำสิ่งที่เราไม่ชอบเหมือนเราโดนบังคับให้ทำ ซึ่งจริงๆมันคือเราบังคับตัวเองนั่นแหละเพราะแรงผลักดันของสังคม การได้ทำงานในบริษัทที่ดีมีชื่อเสียงมันทำให้เราดูเป็นบุคคลที่มีคุณภาพคนหนึ่ง แต่มันจะมีผลอะไรหาก "คนอื่นมองว่าคุณเป็นคนเก่ง แต่คุณมองเห็นตัวเองเป็นคนไม่มีความสุข" จริงไหมค่ะ


ทุกครั้งที่เห็นคนที่ได้ทำงานที่เขาชอบ เรารู้สึกชื่นชมและก็อดอิจฉาไม่ได้  ตอนนั้นในใจได้แต่ "คิดว่าเราอยากทำอะไรที่เราชอบ เพราะเราอยากเป็นคนที่มีความสุข" วันๆนั่งถามตัวเองอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขได้ อะไรคือสิ่งที่เราอยากทำ จากนั้นเริ่มซื้อหนังสือจิตวิทยามาอ่านเพื่อกล่อมใจให้มองโลกสวยขึ้น สุดท้ายก็ได้คำตอบให้ตัวเองว่า "ถ้าใจเรามันทุกข์ ก็ตามใจมันซะเลยจะได้ไม่ทุกข์"

ทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานตัวเอง มันภูมิใจมากบอกไม่ถูกค่ะ เหมือนเว่อรนะแต่จริงค่ะ 555+

ลัทธิแสวงหาความสุขใส่ตัวเริ่มครอบงำเราคิดแค่อย่างเดียวว่าเราต้องค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราชอบอะไร หลังจากนั้นเราเริ่มทำทุกอย่างที่เราชอบแล้ววัดระดับความสุขขณะที่ทำ ไม่น่าเชื่อว่างานเย็บผ้าจะทำให้เรามีความสุขได้มากขนาดนี้ เพราะอะไรนะหรอ ตอนแรกมันเริ่มจากการคิดถึงแค่ตัวเองก่อนค่ะ  คือ 
1. เราอยากใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ได้ เพราะเราสามารถทำเองได้ บ่อยครั้งที่เราทำปุ๊บใส่เลย ฮ่าๆๆ
2. ขนาดก็พอดีตัวเราเอง ไม่ต้องมากังวลว่าเสียเงินไปจะใส่สวยพอดีไหมและคุณภาพเนื้อผ้าเราเลือกเองดีไม่ดียังไงตัดสินใจเลือกได้
3. ราคาประหยัดมากค่ะ เสียแค่เวลา ซึ่งเราเรียกการเสียเวลาแต่ละชม.ว่า "การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆค่ะ"
4. ความภูมิใจในผลงาน มันเป็นสิ่งมี่ทำให้เรามีความสุขมากๆค่ะ 

ซื้อหนังสือเรียนตัดผ้าด้วยตัวเอง เมื่อตัดสินใจว่าทำอาชีพแน่นอน ก่อนที่จะไปสมัครเรียนจริงจัง

เราก็คิดว่าเราจะทำอาชีพตัดผ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง หลังจากนั้นก็เริ่มปรึกษาคนรอบข้างเพื่อหาแนวร่วม
แม่พูดว่า "ตัดผ้าเป็นอาชีพที่ไม่สบายนะ วันๆได้แต่ตัดเสื้อผ้าสวยๆแต่ไม่มีโอกาสได้ใส่ เราจะโทรมนะลูก" เราก็เห็นภาพที่แม่พูดนะ แต่ก็คิดในใจว่าเราอยากทำแล้วล่ะต่อให่แม่ไม่สนับสนุนเราก็ไม่ถอยอยู่ดี แม่เราเป็นคนที่ปล่อยให้ลูกได้ใช้ความคิดตัวเองเสมอ ไม่เคยห้ามใดๆแต่จะพูดเปรยๆให้เข้าใจและให้คิดตามเอง

ยายพูดว่า "อย่าเลยไม่ดีหรอก เป็นลูกจ้างเขาดีแล้วเรามีเงินเดือนกินสบาย" เราก็เข้าใจที่ยายพูด คนอายุมากก็จะคิดว่าการมีเงินกินเงินใช้เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว 

พี่สาว "อยากทำไรทำเลย" พี่เราก็รู้ว่าการเป็นลูกจ้างเขามันทรมานแค่ไหนก็สนับสนุนให้ทำสิ่งที่อยากทำ

แฟน "อยากทำไรก็ทำ ทำที่คุณชอบ ทำให้ดี แล้วมันจะเป็นสิ่งที่ทำเงินหาเลี้ยงคุณได้" อ๊ากๆๆ จากผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ พูดคำนี้ออกมากลายเป็นคนหล่อไปเลย 555+   love love 

เพื่อนๆก็สนับสนุนให้ทำธุรกิจเองเพราะไม่มีใครอยากเป็นลูกน้องคนอื่นอยู่แล้ว

ตัวเอง "เกิดมาไม่ค่อยได้ทำอะไรตามใจตัวเอง เพราะสภาพแวดล้อม ฐานะมันบังคับเสมอ วันนี้พอมีหนทางให้ทำในสิ่งที่เราชอบก็ควรทำ ไม่ทำวันนี้ วันหน้าความคิดนี้ก็จะหวนกลับมาอีกเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าเสียดาย ตายๆๆ เราไม่อยากเป็นคนแก่อมทุกข์ที่มานั่งคิดถึงอดีตแล้วรู้สึกเสียดายในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เอาก็เอาว่ะ ถ้ามันล้มตอนนี้อายุน้อยแผลก็หายง่ายล่ะ"

สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ไปเป็นนักเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี คราวนี้ไม่มีใบปริญญาใดๆมาวัดความสำเร็จในการเรียน  แต่เมื่อเราเรียนจบไป เราสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพที่เรารักได้ สิ่งที่จะเอามาวัดตอนนั้นได้มันคือ  "ความสำเร็จในชีวิต" 


สุดท้ายขอโชว์รูปให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ตัวเองก็นึกไม่ถึง  555+

ช่วงกำลังเรียนทำ part-time ด้วย

จบปริญญาตรี สาขานาฏศิลป์ไทย


แต่ไปทำงานที่ FedEx  ทำเกี่ยวกับ Logistic
หลังจากนั้นก็ไปอยู่บริษัท Post production

สุดท้ายมาเป็นช่างเย็บผ้า 55555555+

ทั้งหมดมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นนะค่ะ การเริ่มต้นทำอาชีพใหม่ๆมันยากนะค่ะ ยิ่งเป็นการทำด้วยตัวเองด้วย ฮือๆๆ อัดพาราไปหลายเม็ดเลยค่ะ แต่อย่างน้อยเรารู้ใจตัวเองแล้ว ผิดมาพลาดมา เรายิ้มได้ค่ะเพราะเราเลือกเอง เราจะไม่โทษตัวเองเพราะเราคิดก่อนทำเสมอ

มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะที่พอมองเห็นคนรอบข้างที่มีพร้อมทุกอย่างแล้วทำให้เราท้อ แต่คุณลองมองดูชีวิตตัวเองให้ดีๆค่ะ บางที่คุณอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า "วันนี้ที่คุณบ่นมา เราทุกข์ เราจน เราไม่มีความสุข เมื่อก่อนดีกว่านี้หรอ" เราเวลาท้อๆก็มองดูตัวเองแล้วคิดว่า "ทุกวันนี้ก็ไม่ได้สบาย เลิศหรู แต่เมื่อเราหันหลังมองไปตอนที่เรายังเด็ก เรารู้เลยว่าชีวิตเราดีขึ้นมาก สมัยก่อนอยากกิน KFC ต้องเก็บเงิน อดข้าวไม่รู้กี่มื้อ" กินข้าวกับน้ำปลาก็ยังเคย ดังนั้นเราคิดว่า "การเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับตนเองดีกว่าการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่นนะค่ะ" 

สุดท้ายฝากไว้สำหรับเพื่อนๆที่มีข้อจำกัดในชีวิตเยอะไม่สามารถมำอะไรตามใจได้ "สู้" คำเดียวค่ะ สักวันความเพียรที่เราทำ ความดี ความกตัญญูจะช่วยให้คุณมีหนทางเสมอค่ะ (เราเชื่ออย่างนั้น)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น